Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

You are not connected. Please login or register

ตำนานมือกีต้าร์ผู้ปฏิวัติการเล่นกีต้าร์เมทัล

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Miku

Miku
Myfriends
Myfriends

[center]
ปลุกกระแส Hair Band ครั้งนี้
ผมมั่นใจว่า แทบทุกคนที่ชอบดนตรี rock และ guitar ต้องรู้จักพวกเขา
วงที่ใช้นามสกุลเป็นชื่อวง ใน style เพลง American hard rock band
เขย่าวงการเพลง Rock ในปี 1978 ด้วยอัลบั้มที่ใช้นามสกุลเป็นชื่ออัลบั้มอีกเช่นกัน

หลังจากออกอัลบั้มแรก
พวกเขาก็สร้างประวัติศาสตร์กับวงการเพลงในทันที และทำให้พวกเขากลายเป็น
leader ในวงการ US. hard rock ในยุค 80s

และเมื่อไม่นานนี้เอง พวกเขาได้ถูกเสนอให้เข้ารับตำแหน่ง
Rock and Roll Hall of Fame (March 12, 2007)

พวกเขาคือ Van Halen . . .

วงดนตรี Van Halen ถือกำเนิดขึ้นในปี 1974 (เลขสวยมาก)
จากการก่อตั้งของวัยรุ่นเลือด rock 3 คนคือ
Eddie Van Halen - Guitars and Vocals
Alex Van Halen - Drums
Mark Stone - Bass

โดยแรกเริ่ม ใช้ชื่อวงว่า "Mammoth"

เนื่องด้วยความเป็นวัยรุ่นหน้าใหม่ ยังไม่มีชื่อเสียง
ทางวงจึงยังไม่มี P.A. System เป็นของตัวเอง
จึงต้องทำการเช่าเครื่องมาใช้ โดยทางวง Mammoth ได้ขอเช่าเครื่องจาก
David Lee Roth
ผู้ซึ่งเคยมา Audition เป็นนักร้องกับ Mammoth แต่ "ไม่ผ่าน" การคัดเลือก

และเพราะค่าเช่าเครื่องที่แพง กอรปกับ Eddie เริ่มเบื่อกับการเป็นนักร้อง
ทางวงจึงยอมให้ David Lee Roth เข้าเป็นนักร้องของวง
เพราะต้องการประหยัดค่าเช่าเครื่องนั่นเอง

เมื่อเริ่มออกแสดงได้ไม่นาน ทางวงพบว่า Mark Stone - Bass ไม่เหมาะกับวง
Michael Anthony จึงถูกเรียก หรือ ทาบทามมาเล่น bass โดยมา jam
กันในบ้านของพ่อนาย David Lee Roth นั่นเอง . . . แล้ว Michael Anthony
ก็กลายมาเป็น Bass player + Back up vocalist แทนที่ Mark Stone

ในเวลาต่อมา ทางวงพบว่า ชื่อ Mammoth นั้นมี local band แถวนั้นเคยใช้อยู่แล้ว
จึงต้องการเปลี่ยนชื่อใหม่ และนาย David Lee Roth ก็เสนอชื่อ Van Halen
ขึ้นมา พร้อมๆกับชื่อ Rat Salad ซึ่งเป็นชื่อเพลงของวง Black Sabbath

แต่ในที่สุด Van Halen ก็ถูกใช้เป็นชื่อวง
โดย Roth บอกว่า มันฟังดูมีพลังในตัวมันเองอยู่แล้ว

หลังจากนั้น พวกเขาก็ออก tour กันมากขึ้น ใน Pasadena, Hollywood
อยู่ในรัฐ California, USA
และจากการออกตระเวณเล่นดนตรีนี้เองทำให้พวกเขาได้กลุ่มแฟนที่เหนียวแน่นขึ้นมา
กลุ่มนึงที่คอยติดตามดู live show ของพวกเขาเสมอๆ

Van Halen ก็ promote วงตนเองโดยการแจกใบปลิว ก่อนขึ้นเล่นดนตรี ตาม high school
และนั่นทำให้แฟนเพลงเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และมากเกิน
ส่งผลให้ Van Halen ถูกห้ามไม่ให้เข้าเล่นใน club ต่างๆ เพราะแฟนๆของพวกเขานี่เอง
แม้กระทั่งการเปืด concert ในสนามหญ้า ก็ถูกตำรวจเข้าควบคุม
เพราะแฟนเพลงเขาก่อปัญหาโดยการพลิกรถตำรวจจำนวนมากด้วยความคึกคะนอง

แต่ชื่อเสียงที่มีมากขึ้นส่งผลให้พวกเขาได้เข้าเล่นในสถานที่ ที่มีชื่อเสียงอย่าง
Whisky a Go Go และในปี 1977 Gene Simmons จากวงสุดเจ๋งอย่าง KISS ก็ได้เห็นการ
แสดงสดของ Van Halen เข้าและตัดสินใจให้ทุนกับทางวงสำหรับทำ Demo Tape
และย้าย Van Halen ไปที่ Electric Ladyland ใน New York

แล้วทางวงก็อัดเสียงเพลง House of Pain , Runnin with the Devil
ขึ้นมาสำหรับ demo songs
แต่ Eddie ไม่ชอบนักเนื่องจากเขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์ของตัวเองบันทึกเสียง
อีกทั้ง Gene Simmons ยังอยากให้เขาใช้ชื่อวงว่า Daddy Longlegs แทน
แต่ทางวงไม่เห็นด้วย
จึงแยกย้ายกันไปในเวลาต่อมา




ในช่วงปลายปี 1977
Mo Ostin และ Ted Templeman ก็ได้เห็นการแสดงของ Van Halen ใน Hollywood เข้าให้
ถึงแม้ว่าจะมีคนดูการแสดงในวันนั้นน้อย แต่ทั้ง 2 คนก็ชื่นชอบ Van Halen มากๆ
และเสนอให้เซ็นสัญญากับทาง Warner Bros Records

ในเดือนตุลาปี 97 นี้เองที่ทางวงได้ออกอัลบั้มชื่อเดียวกับวงออกมา คือ Van Halen
และทำยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมๆกับการไต่ chart ไปถึงอันดับ 19 ของ
Billboard pop music chart

อัลบั้มนี้เองที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในอัลบั้ม Rock
ที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลง Rock มากที่สุดในประวัติศาสตร์

เพลงที่ได้รับการพูดถึงมากในอัลบั้มนี้คือ
Ain't Talkin''Bout Love, Eruption, Runnin with the Deveil....
และเพลง cover อย่าง You Really Got Me
แล้วตามมาด้วยการ Tour ตลอดปี และเป็นวงเปิดให้ Black Sabbath

แน่ยื่งกว่าแช่แป้ง ว่า . . .
สิ่งหนึงที่ดึงดูดคนดู คนฟังจำนวนมากนั้น มาจาก technique การเล่น guitar
ของ Eddie นั่นเอง เมื่อมารวมกับลีลาการร้องของ David Lee Roth
เข้าจึงเหมือนไฟกับน้ำมันมาพบกัน

Eruption ได้แนะนำให้โลกของ Rock and Roll รู้จักกับการเล่น Guitar
ด้วยวิธีที่เรียกว่า Tapping หรือแบบที่เราๆเรียกกันว่า จิ้ม นั่นเอง

ขอคารวะสักร้อยที......

1979
อัลบั้มที่สองของพวกเขาก็ออกมาในชื่อ ตามน้ำ เอ้ยยยย! Van Halen II

แน่นอนว่า style
ต้องตามน้ำไปกับอัลบั้มชุดแรกซึ่งถือเป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์ไปแล้ว
แน่นอน
และ Van Halen II ก็ทำให้ชื่อเสียงของวง
โด่งดังยาวนานเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

เพลงเด่นในชุดนี้ที่แฟนพันธ์แท้ต้องจำได้ คือ Dance the night away

1980 ก็ตามมาด้วย album ที่ 3
ในชื่อ Women and Children First

ในยุคนี้ Van Halen ถือเป็นวง Rock ที่โด่งดังที่สุด
และมีอิทธิพลที่สุดในวงการเพลง Rock เลยทีเดียวเชียว

VH1 ยกย่องให้เขาเป็นอันดับ 7 จาก 100 Greatest Artist of Hard Rock

เพลงเด่นๆในชุดนี้ก็เช่น
The Cardle Will Rock, Everybody Wants Some!!

1981 พวกเขาก็เข้าห้องอัดอีกครั้งในอัลบั้มที่ 4 ที่ชื่อ
Fair Warning

ในชุดนี้ Eddie ต้องการทดลองทำเพลงที่ซับซ้อนมากขึ้น และ Serious มากขึ้น
ซึ่งขัดกับ style ของ Roth ที่ออกไปทาง POP และการแต่งการแนว Cartoon และแฟนซี

ซึ่งผลที่ออกมาทำให้ ยอดขายตกลงอย่างน่าใจหาย และไม่มีเพลง Hit ติด Chart
เลยในอัลบั้มนี้

อัลบั้มที่ 5 ในนาม Diver Down ก็ออกตามมาในปี 1982
ซึ่งมีเพลง Cover ที่ Hit ไปทั่วโลกอย่าง Oh,Pretty Woman ของ Roy Orbison อยู่ด้วย

เหมือนเป็นการแก้ตัวจาก Fair Warning
และหน้าปกก็ใช้ pattern ที่จำกันได้ดีอยู่แล้ว

เรียกว่า กะมาขายกันเต็มที่ละครับ หลังจากแป๊กไปเมื่อครั้งที่แล้วกับ Fair Warning

สองปีให้หลัง คือปี 1984
พวกเขาออกอัลบั้มในชื่อ 1984 อีกครั้ง
ซึ่งถือเป็นอีกอัลบั้มประวัติศาสตร์ของวงการเพลง Rock อีกเช่นกัน

ในชุดนี้พวกเขาบันทึกเสียงกันใน 5150 Studios ของพวกเขาเอง
ซึ่งจุดเด่นคือการนำ Keyboard เข้ามาใช้กับ Hard Rock
ได้อย่างลงตัวและเป็น sound ของ Van Halen เอง

ถือเป็นการก้าวไปอีก step ของการแต่งเพลงและสร้างเสียงเฉพาะตัว
(สมัยนั้น ไม่ค่อยมีใครใช้ Syn เล่นกับ Hard Rock)

Jump เป็น single ที่โดดเด่นในเรื่องของ Synthesizer sound
และคำร้องที่ลงตัวจาก Roth ส่งผลให้เพลงนี้เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวของ
Van Halen ที่ไต่ขึ้นสู่อันดับ 1 ของ POP HIT Chart และทำให้วงได้เป็น
Grammy nomination.

Panama, I'll Wait และ Hot For Teacher ก็ตามติดเข้าถล่ม Chart เพลง Hit
และหัวใจของแฟนเพลงของพวกเขา

หลายๆเพลงถูกทำเป็น MV และถูกเปิดเป็นเพลงหลักใน MTV โดยเฉพาะ Hot for Teacher
และ 1984 ก็ขึ้นถึงอันดับ 2 ของ Billboard ซึ่งที่ 1 ในขณะนั้นคือ
Thriller จาก Michael Jackson นั่นเอง โดยในเพลง hit ของ Michael ที่ชื่อ
Beat It
ก็ได้ Eddie Van Halen เป็นคน solo




และเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของวงดนตรีดัง
เมื่อถึงจุด อิ่มตัว ก็เริ่มมีความขัดแย้ง
โดย Roth ไม่พอใจที่ Eddie เริ่มโดดเด่นและทำตัวเป็น Artists มากเกินไป
ในขณะที่ Eddie ก็ไม่พอใจที่ Roth ยังคง present ตัวเองในลักษณะ
Cartoonish และ นิสัยที่ชอบทำตัวหรูหรา

แล้ว Roth ก็แยกตัวออกจาก Van Halen ในที่สุด

เมื่อขาด Roth ก็ต้องหานักร้องใหม่
และ Van Halen ก็ได้พบกับ Sammy Hagar ซึ่งเคยร้องให้กับวง Montrose
มาก่อน อีกทั้งอัลบั้มเดี่ยวของ Hagar ยังขึ้น pop chart ได้ถึงอันดับ 26

และนี่คือยุคใหม่ ของ Van Halen และเป็นยุคที่ผมชอบที่สุด
หรือเรียกว่าเป็นยุคที่ 2 ของ Van Halen ก็ว่าได้.....

5150 คือชื่ออัลบั้มต่อมาที่ออกในปี 1986
เสียงของ Keyboard ที่ผสมผสานกับ Hard Rock และ solo ของ Eddie ทำให้
5150 กลายเป็นอัลบั้มที่ Hit อย่างรวดเร็ว

เพลงอย่าง Why Can't This Be Love?
Dream และ Love Walk In ก็กลายเป็นเพลง Hit ที่เข้าสู่อันดับ 1 ของ
Billboard ได้ในเวลาต่อมา

5150 ถือเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Van Halen ในยุคของ Hagar

ตลอดสิบปีในยุคของ Hargar นั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่การเปรียบเทียบระหว่าง
Hagar และ Roth ถูกถกและวิจารณ์เป็นระยะๆ รวมถึงกระแสของการกลับมาของ
roth
แต่ Eddie กล่าวว่า เขา Happier กับ Hagar และHagar ก็ทำให้ Van Halen
เข้าถึงกลุ่มคนฟังได้ง่ายและมากกว่าเดิม

ในยุคของ Roth นั้น ทุกเพลงถูกกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 3.5 นาที
แต่ในยุค Hagar มีบางเพลงยาวถึง 5 นาที
ส่งผลให้การสร้างเพลงทำได้กว้างและแตกต่าง
และส่วนผสมใหม่นี้เองที่ทำให้เกิด New Sound of Van Halen ขึ้น

แล้ว OU812 ก็ถูกปล่อยออกมาในปี 1988
เพื่อย้ำความสำเร็จของ 5150 ด้วยเพลงคุณภาพอย่าง
When It's Love, Black and Blue, Cabo Wabo, Feel So Good และ Finish
What Ya Started

ในขณะที่วง Hard Rock อื่นๆเริ่มล้มหายตายจากไปด้วยกระแสของ Grunge Music
แต่ Van Halen ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขายังคงยอดเยี่ยม
และสามารถชนะใจแฟนเพลงได้เสมอมา โดยในปี 1991 อัลบั้ม....(ดูภาพเอาเองนะครับ)
ก็ถูกปล่อยออกมา พร้อมกับคว้าสองรางวัล Grammy Awards
ไปครองอย่างภาคภูมิใจ กับ Best Hard Rock Performance with Vocal award.

เพลงเด่นๆในอัลบั้มนี้ คือ
PoundCake , Runaround, Top of The World, The Dream is Over และ Right Now

ชุดนี้เจ๋ง จ๊าบ จี๊ด โดนใจจริงๆ
เก๋า และ มะ มากๆ


และนอกจากอัลบั้มที่เต็มไปด้วยคุณภาพแล้ว
Eddy ยังออกแบบ guitar เป็นของตัวเองกับทาง Ernie Ball ในชื่อ Music Man EVH
ที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผม ที่ไม่ยอมซื้อไว้สักตัวในยุคนั้น
เพราะปัจจุบันกลายเป็นของหายากไปแล้ว เนื่องจาก เลิกผลิต แบบที่ทุกคนคงจะทราบดี

MM EVH ให้เสียงที่ใส หวาน และดุดันในตัวเดียว
คอ bird eyes maple ที่แข็งแรงทนทาน และ Quilt Top ที่สวยงาม และรูปร่างที่เป็นส่วนผสมระหว่าง Strat + Les Paul จน

เป็นเอกลักษณ์ของ Music Man ไปแล้ว




1995
พวกเขากลับมาถล่มแผงเทปและ CD อีกครั้งด้วย
อัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า ..... Balance



กับเพลงเจ๋งๆอย่าง...
Can't Stop Lovin' You, Not Enough, Amsterdam
แน่นอนครับ แฟน evh อย่างผมก็ไม่ยอมพลาดด้วยประการทั้งปวง

กลมกล่อม พอดี ๆ สมชื่อ Balance ล่ะครับ ชุดนี้ . . .

นอกจากอัลบั้ม balance แล้ว
Van Halen ได้มีโอกาสแต่งเพลงให้กับหนังเรื่อง Twister ด้วย
และในช่วงนี้เองที่เกิดปัญหาขึ้นระหว่าง Hagar และ พี่น้อง Van Halen



ในที่สุดจึงมีข่าวว่า Hagar ถูกไล่ออก แต่ Van Halen กล่าวว่าเขาลาออกไปเอง
นับเป็น Big news ที่สร้างความเสียใจให้ผมอย่างมาก
เพราะเสียดายเสียงร้องของ Hagar และความลงตัวของ Sound ในยุคนี้

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร Eddy จึงย้ายค่ายจาก Ernie Ball, Music Man มาสร้าง guitar ตัวใหม่กับ Peavey
โดยใช้ชื่อว่า Wolfgang ซึ่งเป็นชื่อของลูกชายของเขาเอง และแน่นอนว่า Wolfgang ก็มี design ที่มาจาก music man แต่มี

การปรับเปลี่ยนรายละเอียดให้เป็นไปตามที่ eddy ต้องการมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น Arch Top, Drop E tuner, คอที่กว้างขึ้น และน้ำเสียงที่ดุดันมากขึ้น

ทั้งๆที่ Wolfgang หรูหรากว่า...แต่ผมชอบ Music Man มากกว่าครับ....อาจจะเพราะรู้สึกว่ามันเป็น Original เป็น First Impression ก็ได้

1998 Van Halen3
เป็นอัลบั้มของ ยุคใหม่ กับน้องร้องนำ Gary Cherone อดีตนักร้องนำ Extreme นั่นเอง

ซึ่งส่วนตัวแล้วผมฟังงานชุดนี้น้อยมาก หรือ แทบไม่ได้ฟังเลย
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ First impression
ของผมกับอัลบั้มนี้นั้นไม่ประทับใจเท่าไหร่ ด้วยผมรู้สึกว่า Sound และ
Style เพลงเอนเอียงไปทาง Extreme มากเกินไป และเสน่ห์ของ Sound แบบ Van
Halen ที่คุ้นหูผม หาย ไป แล้ว . . .
(อคติส่วนตัว)

อาจเป็นเพราะผมชอบ Hagar มากกว่า Gary ก็ได้
แต่ผมก็ชอบ Gary มากๆสมัยที่เขาอยู่ Extreme

จุดที่เห็นได้ชัดในชุดนี้คือ หลายๆเพลง
มีความยาวมากขึ้นและมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น ยั่วยุอารมณ์มากขึ้น

ซึ่งส่งผลให้ต้องเสียแฟนเพลงเก่าๆที่ชอบ Roth , Hagar ไปจำนวนมาก
และขณะเดียวกันก็ไม่ได้เข้าถึงแฟนเพลงใหม่ๆเท่าที่ควร
ไม่มีเพลงไหนเลยในชุดนี้ที่เข้า Chart เพลง Hit เหมือนชุดอื่นๆ
แน่นอนว่า ยอดขายก็ตกลงไปด้วย

ที่น่าแปลกใจคือ track ที่ชื่อ That's why i love you กลับถูกปล่อยสู่
Internet เท่านั้น โดยไม่ได้อยู่ใน Album ไหนเลย
แม้จะมีข่าวลือในช่วงต้นปี 1999 ว่า
Van Halen กำลังทำ new album ในชื่อว่า Love Again กับ Gary นักร้องคนล่าสุด
แต่ในช่วง Nov 1999 Gary Cherone ก็ลาออกจากวงไปในที่สุด






เครดิสhttp://www.thaimetalhead.com/forum/index.php?topic=8321.0


.......................

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ